โคลง
โคลง
คือคำประพันธ์ชนิดหนึ่งซึ่งมีวิธีเรียบเรียงถ้อยคำเข้าคณะ มีกำหนดเอกโทและสัมผัส
แต่มิได้บัญญัติบังคับครุลหุ
โคลง แบ่งออกเป็น ๓ ชนิด คือ โคลงสุภาพ โคลงดั้น
และโคลงโบราณ
โคลงสุภาพแบ่งออกเป็น ๗ ชนิดคือ
โคลง
๒ สุภาพ โคลงตรีพิธพรรณ
โคลง
๓ สุภาพ โคลงจัตวาทัณฑี
โคลง
๔ สุภาพ โคลงกระทู้
โคลง
๕ หรือมณฑกคติ
โคลงดั้นแบ่งออกเป็น ๖ ชนิด คือ
โคลง
๒ ดั้น โคลงดั้นบาทกุญชร
โคลง
๓ ดั้น โคลงดั้นตรีพิธพรรณ
โคลงดั้นวิวิธมาลี โคลงดั้นจัตวาทัณฑี
โคลงโบราณแบ่งออกเป็น ๘ ชนิด คือ
โคลงวิชชุมาลี โคลงสินธุมาลี
โคลงมหาวิชชุมาลี โคลงมหาสินธุมาลี
โคลงจิตรลดา โคลงนันททายี
โคลงมหาจิตรลดา โคลงมหานันททายี
คำสุภาพในโคลงนั้นมีความหมายเป็น
๒ อย่าง คือ
๑. หมายถึงคำที่ไม่มีเครื่องหมายเอกโท
๒. หมายถึงการบังคับคณะและสัมผัสอย่างเรียบ
ๆ ไม่โลดโผน
ฉะนั้น
คำสุภาพใน ฉันทลักษณ์ จึงผิดกับคำสุภาพ ใน วจีวิภาค
เพราะในวจีวิภาคหมายถึงคำพูดที่เรียบร้อยไม่หยาบโลน ไม่เปรียบเทียบกับของหยาบ
หรือไม่เป็นคำที่มีสำเนียงและสำนวนผวนมาเป็นคำหยาบ ซึ่งนับอยู่ในประเภทราชาศัพท์
ข้อบังคับหรือบัญญัติของโคลง
การแต่งโคลงต้องมีลักษณะบังคับหรือบัญญัติ ๖ อย่าง คือ
๑. คณะ ๔. เอกโท
๒. พยางค์ ๕. คำเป็นคำตาย
๓. สัมผัส ๖. คำสร้อย
ในที่นี้จะยกเอา โคลงสุภาพที่นิยมใช้แต่งกันในปัจจุบันอันได้แก่
โคลง ๒ สุภาพ โคลง ๓ สุภาพ และ โคลง ๔ สุภาพ
โคลง ๒ สุภาพ
แผน : ๐ ๐ ๐ อ ท
๐ อ ๐ ๐ ท
๐ ๐ อ ท
( ๐ ๐ )
บัญญัติ
:
คณะ บทหนึ่งมี ๓
วรรค วรรคที่ ๑ และที่ ๒ มีวรรคละ ๕ คำ วรรคที่ ๓ มี ๔ คำ รวม ๓
วรรคเป็น
๑๔ คำ อีก ๒ คำสุดท้ายในวงเล็บเป็นคำสร้อยจะมีหรือไม่ก็ได้
พยางค์
มีจำนวนตามหน่วยที่เขียนไว้ในแผน ถ้าเป็นพยางค์ลหุ อาจมีจำนวนเกินกว่าที่เขียนไว้ในแผนก็ได้
แต่ต้องไม่ยาวเยิ่นเย้อจนอ่านไม่ถูกทำนองและจังหวะไม่ได้
สัมผัส คำที่ ๕ วรรคที่ ๑
ต้องสัมผัสกับคำที่ ๕ วรรคที่ ๒ ถ้าแต่งเข้าลิลิต (คือเป็นเรื่องยาว)
ต้องให้คำสุดท้ายของบท สัมผัสกับคำที่ ๑ ที่ ๒ หรือที่ ๓ ของบทต่อไปทุก ๆ บท
เอกโท ต้องมี่เอก ๓ คำ และโท ๓ คำ
ตามตำแหน่งที่กำหนดในแผน คำตามใช้แทนเอกได้ แต่ตำแหน่งโท จะใช้คำอื่นแทนไม่ได้
ต้องใช้โทมีรูป
คำเป็นคำตาย ห้ามใช้คำตายในคำสุดท้ายของบท
คำสร้อย ถ้าเนื้อความยังไม่สุดกระแส
อนุญาตให้เติมสร้อยลงในวรรคที่ ๓ ได้อีก ๒ คำ ดังที่เขียนวงเล็บไว้ในแผน
โคลง ๓ สุภาพ
แผน
:
๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐
๐ ๐ อ ท
๐ อ ๐ ๐ ท อ ท ๐ ๐ ( ๐ ๐ )
บัญญํติ
:
คณะ บทหนึ่งกำหนดให้มี
๔ วรรค วรรคที่ ๑, ๒, ๓ มีวรรคละ ๕ คำ
วรรคที่ ๔ มี ๔ คำ รวมเป็น ๑๙ คำ เติมสร้อยในวรรคสุดท้ายได้อีก ๒ คำ
สัมผัส คำที่ ๕ วรรคที่ ๑
ต้องสัมผัสกับคำที่ ๑ หรือที่ ๒ หรือที่ ๓ ของวรรคที่ ๒
ที่โยงเส้นสัมผัสไว้สามแห่ง หมายความว่าเลือกสัมผัสได้คำหนึ่งในสามคำนั้น
นอกนั้นสัมผัสกันตามเส้นที่โยงไว้ ถ้าแต่งเข้าลิลิตให้ถือตามกฎที่กล่าวในโคลง ๒
เอกโท ต้องมีเอก ๓ โท ๓
ตามตำแหน่งที่กำหนดในแผน ถ้าคำที่ ๕ ในวรรคที่ ๑
ส่งสัมผัสโดยใช้คำที่มีรูปวรรณยุกต์เอกโท คำที่รับสัมผัสในวรรคที่ ๒
จะต้องมีรูปวรรณยุกต์เอกหรือโทตามกันด้วย
หมายเหตุ โคลง ๒ และ โคลง ๓
ทั้งสุภาพและดั้นไม่ใคร่นิยมแต่งตามละพัง มักนิยมแต่งเป็นเรื่องยาว ๆ ปนกันกับร่ายแลโคลงชนิดอื่น เช่น
แต่งเป็นลิลิตเป็นต้น
โคลง ๔ สุภาพ
แผน
:
๐ ๐ ๐ อ ท ๐
๐ ( ๐ ๐ )
๐ อ ๐ ๐ ๐ อ ท
๐ ๐ อ ๐ ๐ ๐ อ ( ๐ ๐ )
๐ อ ๐ ๐ ท อ ท ๐ ๐ ( ๐ ๐ )
บัญญัติ
:
คณะ โคลงหนึ่งมี ๔
บรรทัด บรรทัดหนึ่งเรียกว่า “บาทหนึ่ง” รวม ๔ บาทนับเป็นหนึ่งบทหรือหนึ่งโคลง บทหนึ่งมี
๒ วรรค วรรคหน้ามีวรรคละ ๕ คำ วรรคหลังของบาทที่ ๑, ๒ และ ๓
มีวรรคละ ๒ คำ วรรคหลังของบาทที่ ๔ มี ถ คำรวมเป็น ๓๐ คำ
สัมผัส ดูตามเส้นที่โยงไว้ในแผน
นอกจากสัมผัสที่บังคับตามแผนแล้วโคลง ๔ สุภาพยังต้องการสัมผัสอีก ๒
อย่างเพื่อชูรสให้เพราะยิ่งขึ้น คือ
๑.สัมผัสใน ไม่บังคับจะมีครบทุกคู่หรืจะมีคู่ใดคู่หนี่งก็ได้
๒.สัมผัสอักษรระหว่างวรรค
คือให้คำสุดท้ายของวรรคหน้า สัมผัสอักษรกับคำหน้าของวรรคหลัง เช่น ขึ้น กับ เคียง
กา กับ กู่ ตา กับ ตาม จ้อง กับ จึ่ง
เอกโท มีเอก ๗ ตำแหน่ง และโท ๔
ตำแหน่ง ตามในแผน
คำสร้อย
ถ้าเนื้อความยังไม่สิ้นกระแส จะเติมสร้อยคำลงไปในท้ายบทที่ ๑ ที่ ๓ และที่ ๔ ก็ได้
แต่ปัจจุบันนี้ไม่ใคร่นิยมเติมสร้อยคำในบาทที่ ๔ จึงไม่พบเห็นในการแต่งทั่ว ๆ
ไปแต่ในหนังสือโคลงรุ่นเก่าเราจะได้พบบ่อย ๆ หากเราจะแต่งเล่นบ้างก็ได้
หมายเหตุ
:
โคลง ๔ สุภาพนี้
ถือว่าไพเราะและนิยมแต่งกันมาแต่โบราณ นับว่าเป็นหลักของโคลงทั่ว ๆ ไป
เพราะถ้าแต่งได้แล้ว ก็สามารถจะแต่งโคลงอื่นได้โดยไม่ยาก
กำชัย
ทองหล่อ (๒๕๕๖ : ๓๙๖-๔๐๐ )
กำชัย
ทองหล่อ. (๒๕๕๖). หลักภาษาไทย. พิมพ์ครั้งที่ ๕๖. กรุงเทพมหานคร : อมรการพิมพ์.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น